[YAOI] พบกันที่ปลายทาง (เรื่องสั้น) - [YAOI] พบกันที่ปลายทาง (เรื่องสั้น) นิยาย [YAOI] พบกันที่ปลายทาง (เรื่องสั้น) : Dek-D.com - Writer

    [YAOI] พบกันที่ปลายทาง (เรื่องสั้น)

    เรื่องสั้น ๆ ที่อ่านแล้ว อือม มันเคยเกิดขึ้นกับฉัน กับเธอ กับใคร ใด ๆ ก็ตาม ได้ทั้งสิ้นแล

    ผู้เข้าชมรวม

    371

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    371

    ความคิดเห็น


    6

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  14 พ.ค. 58 / 17:34 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    เป็นเรื่องสั้นที่เขียนขึ้นจากการมองเห็นเรื่องจริง แล้วจินตนาการบวกประสบการณ์ที่เคยพบมา
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      สัญญาณบอกเวลา  สำหรับขบวนรถไฟชานเมือง ที่แน่นไปด้วยผู้คนพร้อมออกเดินทางแล้ว  แม้ปลายทางจะเป็นจังหวัดที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพ แต่ผู้คนก็ใช้รถไฟขบวนนี้ในการเดินทางกลับบ้าน และมาทำงานในช่วงเช้า มีบ้างในบางครั้ง ขบวนรถไฟขัดข้อง ทำให้ผู้คนต้องทำงานสาย ความนิยมในการใช้บริการยังคงได้รับเสมอ สาเหตุจากความสะดวก ราคาถูก และไม่ต้องเจอปัญหาการจราจรเหมือนรถยนต์ที่นับวันจะติดมากขึ้น


      ดล หนุ่มพนักงานบริษัทเอกชน เป็นผู้โดยสารอีกคนหนึ่งที่ต้องใช้บริการรถไฟขบวนนี้ ตั้งแต่ต้นทาง ยันสุดปลายทาง  เขาผูกพันกับรถไฟขบวนนี้ อย่างน้อยก็ตั้งแต่เรียนจบทำงาน ไม่น้อยกว่า 7 ปี


      ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ดล รู้จักกับเจ้าหน้าที่พนักงานรถไฟที่หมุนเวียนสับเปลี่ยนมาให้บริการบนรถไฟเที่ยวนี้แทบจะครบทุกคนแล้ว ทุกคนล้วนรู้จักเขา เพราะเขาจะเป็นคนสุดท้ายที่ลงจากขบวนรถเสมอ


      ในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ บางครั้งดลก็ใช้บริการรถไฟขบวนนี้ในการเดินทางเข้าสู่กรุงเทพ ทั้งไปและกลับ ซึ่งก็เป็นเขาอีกเช่นเคยที่ลงคนสุดท้ายของขบวนรถ



      ***********


      วันหนึ่ง ดลนั่งเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่างที่มืด มองเห็นแสงไฟจากบ้านริมทางรถไฟ  ไหว ๆ ด้วยความเร็วของรถไฟ สายลมเย็น พัดพากลิ่นไอแห่งท้องทุ่งยามค่ำคืน ประกอบกับกลิ่นไอเสียจากหัวรถจักรดีเซลที่คำรามอย่างทรงพลัง พาฉุดลากให้ตู้รถโดยสาร ที่บางวันมี 5 คันบ้าง  4 คันบ้าง แล้วแต่วัน พาไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว


      เสียงหวูดรถไฟเตือนทางตัดที่ไม่มีไม้กั้น ในยามค่ำคืน อันตรายที่เกิดจากการข้ามทางรถไฟแบบไม่มีไม้กั้นทาง เคยเกิดเหตุขึ้นมาเหมือนกัน แต่ดลยังไม่เคยประสบเหตุเหล่านั้น  


      ด้วยความเคยชินจากการนั่งรถไฟขบวนนี้   ดลเตรียมสะพายเป้ขึ้นบ่า  รถไฟใกล้จะถึงปลายทางแล้ว พอพ้นโค้ง รถไฟถูกสับรางให้เข้าไปในรางที่ 3 อันเป็นรางสำรอง รถไฟขบวนนี้สุดปลายทางที่นี่ และจะทำขบวนกลับกรุงเทพในเช้ามืดของวันรุ่งขึ้น



      หางตาของดล เหลือบไปเห็น เจ้าหน้าที่การรถไฟ ที่ไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย  ชุดดูใหม่มาก คงจะเป็นเจ้าหน้าที่เข้ามาปฏิบัติงานใหม่เป็นแน่  เขามองมาที่ดล ซึ่งดลเองก็ไม่ระวังตัวอะไรนักเพราะเขาเป็นพนักงานรถไฟใส่ยูนิฟอร์ม มีธงถืออยู่ในมือ คงจะเป็นพนักงานรักษารถ เขาต้องค้างคืนที่นี่


      ดลหันไปมองเขาตรง ๆ และยิ้มให้ เขายิ้มตอบอย่างมีไมตรี  ดลพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปทางประตู ลงจากขบวนรถ  ในขณะนี้เหลือแต่รถคันที่ดลนั่งเท่านั้นที่ยังเปิดไฟอยู่ รถคันอื่น ๆ ปิดไฟ ประตู กระจก เรียบร้อยแล้ว  หัวรถจักรถอดออกจากขบวนรถ เข้าสู่รางสอง ทำการสับเปลี่ยนไปต่อกับตู้โดยสารอีกด้าน เตรียมทำขบวนกลับกรุงเทพในวันรุ่งขึ้น


      ดลก้าวข้ามไปรางที่สอง ไปยังรางที่หนึ่ง และกระโดดขึ้นไปยืนบนชานชาลา หันกลับมามองขบวนรถอีกครั้ง วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์  จึงมีเพียงเขาเพียงคนเดียวที่ลงสุดปลายทาง ไม่มีผู้โดยสารคนอืน ๆ อีก


      พนักงานรถไฟคนนั้นลงมายืนตรงประตูรถไฟก่อนจะจับหมวกและก้าวลงจากขบวนรถเช่นกัน  มีที่พักสำหรับพนักงานหลังสถานีรถไฟ  ผมยืนรอจนเขาคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ เขาทักขึ้นก่อนที่ดลจะทันพูด


      “คนที่นี่หรอครับ” น้ำเสียงสดใสของชายคนนี้ ทำเอาดลมองตาค้าง ด้วยไมตรีจิตที่มีทำให้ดลถึงกับเงิบไปชั่วขณะ เพราะปกติดลจะพบแต่เจ้าหน้าที่มีอายุ และออกแนวบู๊ ๆ เสียงดัง ๆ


      “เอ่อ.. ครับ..คนที่นี่” ดลตะกุกตะกักตอบ  มือซุกเข้ากระเป๋ากางเกงตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ แต่ชายเจ้าพนักงานรถไฟคนนั้นยิ้มตอบเขิน ๆ เหมือนกัน


      “ผมชื่อสุรเชษฐ์ เรียกเชษฐ์ ก็ได้ครับ”  

      นี่คือชื่อของพนักงานรถไฟผู้น่ารัก


      “ผมดลย์ เรียกดลตรง ๆ เลยครับ”

      ดลแนะนำตัวเช่นกัน ทั้งสองออกเดินไปตามชานชาลา ไฟสลัวจากเสาไฟที่ดัดแปลงมาจากรางรถไฟเก่าช่วยส่องทาง พอให้ดลกับเชษฐ์เดินไปบนชานชาลาได้ไม่ลำบากนัก


      บ้านพักของพนักงานรถไฟอยู่ถัดไปเล็กน้อย หลังชานชาลามีทางเชื่อมแยกออกไป     ส่วนบ้านของดลต้องเดินต่อไปจนสุดชานชาลา แล้วเดินข้ามทางรถไฟตัดลงไปยังถนนที่เรียบเคียงทางรถไฟ เข้าซอยไปอีกเล็กน้อยก็ถึงบ้านของดล บ้านไม้สองชั้นทรงโบราณอายุกว่า 40 ปี ซึ่งเขาอาศัยอยู่กับพ่อ แม่ น้องชาย และยาย



      ระหว่างเดินมาด้วยกัน ดลชวนเชษฐ์คุยถึงเรื่องทั่วไป รวมไปถึงการมาปฏิบัติหน้าที่ของเชษฐ์


      “ผมไม่เคยเห็นคุณ.. เพิ่งย้ายมาหรอครับ”

      “ครับ ปกติผมจะอยู่กับรถไฟสายตะวันออก”  

      “แล้วมาประจำกับขบวนนี้เลยรึเปล่าครับ”

      ดลสนใจในเรื่องนี้เป็นพิเศษ


      เชษฐ์ยิ้ม

      “ผมก็ไม่ทราบนะครับว่าจะมาตลอดรึเปล่า แล้วแต่แผนครับ แต่ช่วงนี้ผมยังมาอยู่นะ” คำตอบขอบเชษฐ์ ทำให้ดล อมยิ้ม


      “ถ้าสนใจเที่ยวเมืองนี้ ผมอาสาเป็นไกด์” ดลอาสาพาเชษฐ์เที่ยว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเชษฐ์จะสนใจหรือไม่  เชษฐ์ไม่ตอบ ได้แต่ยิ้ม และขอตัวเข้าที่พัก  เขาสองคน กล่าวอำลากันเล็กน้อย ก่อนที่ดลจะออกเดินต่อไปคนเดียวท่ามกลางความมืด


      ดลเดินเรื่อยเปื่อยไปบนชานชาลาอันมืดมิด ตอนนี้ไม่มีไฟจากชานชาลาช่องส่องทางแล้ว แต่เพราะความเคยชิน ดลเดินได้อย่างไม่ลำบากนัก  ขณะเดินไปนั้น  เขาแอบคิดว่า
      “ถ้าเชษฐ์เป็นแบบที่เราเป็น และได้คบกัน คงจะดีนะ… แต่ รถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ เขาว่าเจ้าชู้ ไม่รู้จะจริงรึเปล่าน้อ” นึกไปนึกมา เผลอมายืนที่หน้าประตูบ้านตัวเองซะแล้ว




      ก่อนนอน ...

      อะไรบางอย่างผลักดันให้เขาคิดได้ ..พรุ่งนี้จะเข้ากรุงเทพ.. ไปไหน ว่ากันอีกที  

      ดลบอกกับพ่อแม่เรียบร้อยว่าจะเข้ากรุงเทพเช้ามืดพรุ่งนี้  และสาย ๆ จะกลับ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ดลรีบเข้านอน ตั้งนาฬิกาปลุกเวลาเดิม  


      ดลตั้งใจว่าจะต้องรู้ให้ได้ ว่า.. เชษฐ์ เป็นดังเช่นที่เขาหวังหรือไม่???

      ------------------


      เช้า… วันอาทิตย์ที่แสนสบาย  ปกติ ดล จะนอนตื่นสาย แต่ด้วยความหวังอะไรบางอย่าง กับพนักงานรถไฟหน้าใหม่ ซึ่งด้วยเซนต์ของเขา สัมผัสได้ว่า  น่าจะเคมีเดียวกัน…


      ดลเดินไปถึงช่องขายตั๋วก่อนเวลารถไฟออกก่อนจะได้เวลารถไฟออก 15 นาที  

      พนักงานขายตั๋วทำหน้าแปลกใจเมื่อพบกับดลในวันนี้   วันอาทิตย์ ซึ่งดลไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้มเช่นเคย


      เช้าวันอาทิตย์แบบนี้ ดลพบกับเพื่อนร่วมทางประจำ 2-3 คน คือแม่ค้าที่เข้าไปขายของ ซึ่งใช้รถไฟขบวนนี้ในการเดินทางเช่นกัน


      “อ้าว..ดล  ไปกรุงเทพเหรอจ๊ะ”  ป้าแจ่ม ทักทายเมื่อแรกพบด้วยความแปลกใจที่ได้พบกับดลในวันหยุดเช่นนี้  เขายกมือไหว้ ยิ้มให้เป็นการตอบรับ และขณะนั้นเอง    ที่เสียงระฆังที่สถานีดังขึ้น  เป็นการแจ้งว่า รถไฟได้เวลาออกเดินทางแล้ว


       

      ดลเลือกที่นั่งติดริมหน้าต่าง  เขาเอื้อมไปเลื่อนกระจกหน้าต่างให้ลงมาจนสุด  โดยปกติเจ้าหน้าที่จะมาเปิดบานเหล็กที่ปิดไว้เมื่อคืนลงทุกบาน ทุกบานถูกเปิดหมดแล้ว มีเพียงกระจกเท่านั้นที่ยังปิดอยู่  ใครอยากจะโต้ลมขนาดไหน ถ้าไม่กลัวเป็นต้อลม ก็เปิดกว้างสุดได้เลย  แต่ในฤดูหนาวมักจะปิดกันเกือบหมด เพราะอากาศจะเย็นมาก


      รถไฟ..เคลื่อนออกจากชานชาลาที่ 3  ดลยังไม่เห็นหน้าเชษฐ์ในวันนี้  ..อีกเดี๋ยวก็คงเจอ เพราะต้องมีเจ้าหน้าที่มาตรวจตั๋วโดยสารรถไฟ.. เขาคิดเช่นนั้น



      ผ่านไป 1 สถานี มีเสียงดังขออนุญาตตรวจตั๋วมาจากประตูด้านท้าย  ดลหันกลับไปมอง ก็แปลกใจ  เจ้าหน้าที่ที่เดินมาตรวจตั๋ว ไม่ใช่เชษฐ์  


      ดลส่งตั๋วให้ตรวจ  ก่อนจะนั่งเหม่อลอยไม่สนใจอะไรรอบข้างอีก  … เขาไม่มา?……


      รถไฟทำเวลาได้ค่อนข้างตรงเวลาเนื่องจากเป็นรถไฟชานเมืองสายสั้น และเป็นวันอาทิตย์  เพียง 2 ชั่วโมง รถไฟขบวนที่ดลโดยสารมา กำลังจะเข้าสู่ชานชาลาสถานีปลายทางในไม่ช้า  ผู้โดยสารคนอื่น เตรียมตัวลงจากรถไฟแล้ว ดลเดินลงจากรถไฟตู้ที่ 4 เป็นคนสุดท้าย เขาเดินตามผู้โดยสารคนอื่นออกไป แต่แยกตัวออกไปทางช่องขายตั๋ว


      วันนี้ดลไม่มีกำหนดจะไปไหน เขาต้องการเพียงเพื่อจะได้พบกับเชษฐ์ แต่ในเมื่อไม่พบ ดลจึงตัดสินใจที่จะนั่งรถไฟกลับ ซึ่งรถไฟอีกขบวนที่จะผ่านบ้านดล จะออกเดินทางในอีก 20 นาที  ดลซื้อตั๋วรถไฟขบวนนั้น และออกเดินกลับไปอีกชานชาลาที่รถไฟขบวนนั้นจอดรออยู่


      รถไฟ.. พา ดล กลับมาถึงบ้านในเวลาใกล้เคียงกับเวลาที่เขาเดินทางเข้ากรุงเทพ คือราว ๆ 2 ชั่วโมง  ดลก้าวลงจากรถไฟ ออกเดินไปตามชานชาลา แสงแดดใกล้เที่ยง สาดส่องลงมาจนเขาต้องเอามือบังหน้าไว้ก่อนที่ผิวหน้าจะไหม้เกรียม  เขาเร่งฝีเท้าเพื่อให้ถึงบ้านไว ๆ ซึ่งระหว่างทางจะต้องผ่านบ้านพักพนักงานรถไฟ  ใช่..บ้านพักหลังที่เขาแยกกับเชษฐ์เมื่อคืนนี้  


      ดล อดไม่ได้ที่จะหันไปมองบ้านพักหลังนั้น แล้วก็ต้องแปลกใจ  ชายคนหนึ่ง ยืนพิงระเบียงมองมาทางเขา  กางเกงขาสั้น เสื้อกล้าม บ่งบอกว่า ผู้นั้นกำลังอยู่ในช่วงพักผ่อน


      ดลหยุดเดินหันไปทางชายคนนั้น  …


      ชายคนดังกล่าวโบกมือทักพร้อมส่งเสียงทักทาย


      “ดล สวัสดีครับ ไปไหนมาล่ะ” เชษฐ์นั่นเอง   เชษฐ์ที่เขาคิดว่ากลับไปพร้อมรถไฟเที่ยวเช้า  นี่เขาคำนวณอะไรผิดไป


      ดลหันไปยิ้มกว้าง โบกมือให้เชษฐ์   


      “ขึ้นมาก่อนสิครับ... ร้อนหน่อยนะบนนี้” เชษฐ์เรียกดลให้ขึ้นไปนั่งพักบนบ้านพักพนักงานรถไฟที่อยู่ติดกับชานชาลา


      ดล ถอดรองเท้า และขออนุญาตขึ้นที่พัก  ไปนั่งบนเก้าอี้รับแขกไม้ที่ดูโบราณพอ ๆ กับบ้านพัก เขาพูดอะไรไม่ออกได้แต่ยิ้มอย่างเดียว จนลืมไปว่าเขาอยากจะถามอะไรเชษฐ์   ซึ่งเชษฐ์เองก็ดูเหมือนจะรู้ว่า ดล ต้องการจะถามอะไร จึงบอกเหตุผลที่ยังคงอยู่ที่นี่

      เชษฐ์นั่งลงข้าง ๆ ดล  “ดล ไปไหนมา…”

      ดลออกอาการเขิน “เรา… ไปนั่งรถไฟเล่น.. เช้า ๆ อากาศดีนะ”

      เชษฐ์หัวเราะออกมาเบา ๆ  เพราะรู้ว่า ดลไม่น่าจะอยากนั่งรถไฟเล่นในเช้ามืดวันอาทิตย์อันแสนสบายเช่นนี้ น่าจะต้องมีอย่างอื่น


      “ผมลาหยุด 2 วัน  จะกลับวันมะรืนนี้น่ะครับ  ตอนนี้ก็เลยพักที่นี่ไปก่อน ผมชอบที่นี่” เชษฐ์พูดจบประโยคก็สูดหายใจลึก ๆ  ดลมองหน้าเขาแล้วเผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว


      “ชอบก็มาได้บ่อย ๆ ที่นี่ยินดีต้อนรับ” ดล กล่าวเชิญชวนด้วยความเต็มใจหรืออาจจะ มากกว่านั้น  

      “ครับ… ชอบ” เชษฐ์ยิ้มกว้าง ๆ  ตอบรับไมตรีจิตที่ดลมีให้


      ดลเล่าให้ฟังถึงสิ่งต่าง ๆ ในเมืองนี้  เมืองที่เขาเกิดและโตขึ้น ไปพร้อม ๆ กับรถไฟที่ยังคงดำเนินวิถีทางตามกาลเวลา
       

      “ผมโดยสารรถไฟตั้งแต่เด็ก เห็นมาตลอด ชอบรถไฟครับ” ดล กล่าวต่อท้าย หลังจากเล่าเรื่องเมืองเกิดของเขาจบ เชษฐ์ ก็ยังคงได้แต่อมยิ้มเหมือนเคย


      ดล..นึกแปลกใจ คุยอะไรก็เอาแต่ยิ้ม  ด้วยความที่ตน เป็นคนไม่ชอบอะไรที่ อึมครึม จึงเกิดความคิดชั่ววูบ   ขาดเป็นขาด!!


      “มีอะไรรึเปล่าเชษฐ์”  ดล ถามเชษฐ์ตรง ๆ เพราะอาการที่ไม่ปกติของเชษฐ์  ซึ่งเอาแต่ยิ้มอย่างเดียว  เชษฐ์เห็นสีหน้าของดลจริงจังจะเอาคำตอบให้ได้  จึงรีบตอบกลับ ก่อนที่อะไร ๆ จะเลยเถิดไป


      “ไม่มีอะไร..  แค่…..นาย..น่ารักดี..นะ ”

      คำพูดอ้อมแอ้มของเชษฐ์  บวกกับอาการเขินอายที่เริ่มจะมองเห็นชัด ทำให้ดล            ยิ้มกว้าง ๆ ออกมา  แน่ชัดว่าเขามองไม่ผิด.. เชษฐ์เป็นเหมือนเขา ตอบรับไมตรีของเขาได้แน่


      “ผมเป็น... “ ดลพูดได้แค่นี้  เชษฐ์ทำมือจุ๊ปากไว้  “ไม่ต้องพูดนะ... โอเคไหม” พร้อมกับรอยยิ้มน้อย ๆ ของเชษฐ์    


      “ผมชอบคุณนะ”  สั้น ๆ กระชับแต่มีค่ามากสำหรับคำนี้ที่ออกจากปากดล ดลเองก็ไม่เคยบอกชอบหรือบอกรักใครมาก่อน  แต่การที่เขายอมตื่นนอนแต่เช้าเพื่อจะมานั่งรถไฟ แลกกับการได้เจอใครหนึ่ง.. มันพิสูจน์ถึงใจตนเองได้ ว่า..เรา อยากเจอเขา..อยากพบเขา..


      เชษฐ์เอามือที่แข็งกร้านมาจับมือของดลไว้ “แล้ววันนี้นั่งรถไฟไป เพื่อจะเจอผมใช่รึเปล่า”

      เจอคำถามนี้เข้าไป เล่นเอาหนุ่มดล หน้าแดง เขินอาย มุดหน้าหลุบลงไปกับโต๊ะ ทำให้เชษฐ์ผู้เห็นอาการ ถึงกับหัวเราะออกมา


      “ใช่ป่าว”  ยังคงย้ำ ซึ่ง ดล ได้แต่พยักหน้ารับ

      “ผมคงมาพักที่นี่ไม่ได้บ่อย นอกจากจะมากับรถไฟขบวนนี้นะ…”

      “มาพักบ้านผมก็ได้ถ้าไม่รังเกียจ”

      “ขอบคุณครับ”


      ทั้งสอง ไม่มีคำพูดอื่นใด เพียงแต่มองตา ยิ้มให้กัน เป็นสัญญาณว่า เชษฐ์และดล จะเริ่มคบหากันในฐานะที่เริ่มจาก เพื่อน ...อาจจะไม่ใช่เพื่อนทั่วไป


      “ลองคบกันดูนะครับ.. คบกับผม เหงาหน่อยนะ...แต่ถ้าช่วงหยุด ผมจะมาหาคุณ”  

      เชษฐ์… เอ่ยขึ้นในที่สุด  


      ดลได้แต่ยิ้ม   เมื่อนึกทบทวนเวลาที่ได้พบกัน แม้จะสั้นมาก แต่… ถ้ามันจะใช่  เวลาน้อยมากไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเขาและเชษฐ์ …


      จบ......

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×